เทคนิคการสอนวิชาคณิตศาสตร์
ที่มาภาพ http://i1243.photobucket.com/albums/gg553/553070068-5/maths.jpg |
วิธีการสอนในการจัดการเรียนการสอนถ้าครูใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับวิธีการเรียนของผู้เรียนแล้ว จะทำให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และคงทนยั่งยืน ถ้าผู้เรียนได้รับการสอนที่สอดคล้องกับวิธีการเรียนที่ตนชอบ จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีทัศนคติที่ดีต่อการสอน และมีวินัยในตนเอง สำหรับวิธีการสอนของครูมีการแบ่งได้หลายแบบ แต่จะนำเสนอเฉพาะวิธีที่น่าสนใจ ดังนี้
วิธีสอนคณิตศาสตร์ ที่ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าวิธีสอนตามปกติ ได้แก่ 1) วิธีสอนแบบวรรณี 2) วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง 3) วิธีสอนซ่อมเสริมโดยใช้ชุดการสอน บทเรียนโปรแกรม 4) วิธีสอนซ่อมเสริมโดยใช้เกมประกอบการสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดฝึกทักษะการคิดคำนวณ และชุดการสอน 5) วิธีสอนรายบุคคลที่ช่วยให้นักเรียนมีผลการเรียน เจตคติต่อการเรียน และความคงทนของการ เรียนรู้สูงที่สุดและสูงกว่าวิธีสอนแบบใช้สื่อการเรียนการสอน วิธีสอนแบบใช้สื่อการเรียนการสอน วิธีสอนแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และวิธีสอนแบบครูและนักเรียนมีกิจกรรมร่วมกัน 6)รูปแบบการเรียนการสอนที่ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ คือรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะการคิดคำนวณ ที่ยึดหลักทฤษฎีกระบวนการกลุ่มที่มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีความรู้ความเข้าใจในมโนมติ มีทักษะทางคณิตศาสตร์ รู้จักแก้ปัญหาและนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ และเห็นความสำคัญและความจำเป็นของการคิดคำนวณ 7) รูปแบบการสอนแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ที่เน้นการคิดแบบอเนกนัย เรื่อง การบวก ลบ คูณทศนิยม และบทประยุกต์ ชั้น ป.5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ความรอบรู้ที่กำหนดร้อยละ 70 และนักเรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ได้แก่ ทักษะการร่วมอภิปราย การระดมความคิด การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทักษะการทำงานย่อย และการกล้าแสดงออก 8) รูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ เรื่อง เศษส่วน ทำให้นักเรียนชั้น ป.5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ และมีทักษะทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นแล้วยังเป็นการพัฒนาทักษะทางด้านสังคม ส่งเสริมความสามัคคีของนักเรียน ทำให้นักเรียนมีความมั่นใจและตระหนักในคุณค่าของตนเองมากขึ้น 9) รูปแบบการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นประสบการณ์ทางภาษาของนักเรียน เรื่องการบวก ลบจำนวนที่มีสองหลักและการบวกระคน ทำให้นักเรียนชั้น ป.1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 88.99 และความสามารถในการพัฒนามโนมติทางคณิตศาสตร์เฉลี่ยร้อยละ 85.36 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 10) รูปแบบการสอนที่เน้นเทคนิควิธีการคิดทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ทำให้นักเรียนชั้น ป. 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่งกว่าวิธีการสอนตามคู่มือครู
วิธีสอนคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจ 11 วิธี
1.วิธีการสอนตามคู่มือ สสวท.
ขั้นตอนการสอน มี 5 ขั้นตอน ได้แก่
1)ขั้นนำ
– ทบทวนความรู้เดิม
2) ขั้นสอน
สอนเนื้อหาใหม่ โดย
– ใช้สื่อประกอบของจริง รูปภาพ สัญลักษณ์
– ใช้กิจกรรมเพลง เกม
– ใช้กิจกรรมเสริม เช่น การจัดป้านนิเทศในชั้นเรียน
– ตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียน ถ้าไม่เข้าใจก็ทบทวนหรือสอนใหม่ ถ้าเข้าใจจึงผ่านไปขั้นสรุปต่อไป
3) ขั้นสรุป
– สรุปเป็นวิธีลัด หรือความคิดรวบยอด
4)ขั้นฝึกทักษะ
– ทำแบบฝึกหัดในหนังสือเรียน บัตรงาน
5)ขั้นประเมินผล
– ตรวจสอบผลการเรียนและการนำไปใช้ ถ้าไม่ผ่านก็จัดสอนซ่อมเสริม ถ้าผ่านก็สอนเนื้อหาใหม่ต่อไป
2.วิธีสอนตามหลักของโพลยา เรื่องที่สอน จะนิยมใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ขั้นตอนการสอน มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ทำความเข้าใจปัญหา ขั้นตอนนี้ครูมีบทบาทสำคัญมาก ครูจะต้องทำหน้าที่ตั้งคำถามนำเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจโจทย์ข้อนั้น ๆ อย่างถูกต้อง ตัวอย่างคำถาม เช่น โจทย์บอกอะไรมาให้เรารู้บ้าง โจทย์ต้องการรู้อะไร โจทย์ต้องการให้เราทำอะไร ผู้เรียนสามารถพูดเกี่ยวกับโจทย์เป็นคำพูดของตัวเองได้หรือไม่ โจทย์ข้อนี้ผู้เรียนจะวาดรูปเพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ หรือไม่ เป็นต้น 2) วางแผนในการแก้ปัญหา ขั้นตอนนี้ครูจะแสดงบทบาทไปพร้อม ๆ กับผู้เรียน ร่วมกันวางแผนเพื่อแก้ปัญหาโจทย์ อาจมีคำถามนำเพื่อวางแผน เช่น ผู้เรียนเคยแก้โจทย์ปัญหาที่คล้าย ๆ กับโจทย์ข้อนี้ไหม ผู้เรียนคิดว่าโจทย์ข้อนี้ควรทำอย่างไร 3) ลงมือทำตามแผน ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะลงมือคำนวณตามแนวทางที่จัดไว้ในขั้นตอนที่ 2 4) ตรวจวิธีการและคำตอบ เป็นขั้นตอนของการตรวจสอบความถูกต้องของการคิดคำนวณ การลงความเห็นหรือสรุปเป็นหลักการของการคำนวณ 3.วิธีสอนแบบวรรณี ขั้นตอนการสอน 1)ขั้นนำ – เร้าความสนใจ – ฝึกสมาธิ – ทบทวนพื้นความรู้เดิม 2) ขั้นสอน สอนเนื้อหาใหม่โดยใช้ –กิจกรรมให้เข้าใจโดยใช้ของจริง ของจำลอง ภาพ สัญลักษณ์ –กิจกรรมเสริมความเข้าใจโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ – กิจกรรมเสริมสร้างเจตคติโดยใช้สถานการณ์ หรือเกม การแข่งขัน 3)ขั้นสรุป – สรุปความเข้าใจ – สรุปวิธีลัด – สรุปวิธีแก้ปัญหา 4)ขั้นฝึกทักษะ – ทำแบบฝึกหัด บัตรงาน 5) ขั้นนำไปใช้ – ฝึกแก้โจทย์ปัญหาตามสถานการณ์ – ส่งเสริมการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน 6)ขั้นประเมินผล – สังเกตการณ์ตอบคำถาม การทำกิจกรรม – ตรวจแบบฝึกหัด – ทดสอบย่อยตามจุดประสงค์ 4.วิธีสอนแบบทักษะกระบวนการ แนวคิดในการสอน ยึดหลักปรัชญาการศึกษาแบบพิพัฒนาการ (Progressivism) โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ขั้นตอนการสอน มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ให้นักเรียนฝึกทักษะการท่องสูตรคูณเร็ว 2) ครูนำโจทย์ปัญหาให้ผู้เรียนฝึกวิเคราะห์ แล้วเขียนเป็นประโยคสัญลักษณ์ และหาคำตอบ 3) ครูและผู้เรียนช่วยกันสรุปเกี่ยวกับการวิเคราะห์โจทย์ปัญหา
5. วิธีสอนแบบเล่นปนเรียน ขั้นตอนการสอน มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน – ใช้เพลง เกม หรือการแข่งขันคิดเลขเร็ว 2)ขั้นสอน – ทดสอบความรู้พื้นฐานที่สัมพันธ์กับเนื้อหาที่จะเรียนต่อไป – อธิบายทบทวนพื้นความรู้เดิมก่อน – สอนเนื้อหาใหม่ โดยใช้ภาพ สื่ออื่น ๆ ประกอบคำอธิบายทีละขั้นตอน – ยกตัวอย่างวิธีทำ ถามผู้เรียนทีละคน ให้ช่วยกันคิดหาวิธีทำ จนเข้าใจแล้วแนะเทคนิควิธีคิดที่ง่าย ๆ แนะข้อผิดพลาดที่ผู้เรียนมักทำผิดหรือเข้าใจผิด – ให้ผู้เรียนยกตัวอย่างโจทย์เอง และช่วยกันติดบนกระดานก่อนที่จะทำแบบฝึกหัด 3)ขั้นสรุปบทเรียน – ให้แข่งขันกันคิดเลขด้วยเม หรือคิดเลขเร็ว 4)ขั้นฝึกทักษะ – ให้ทำแบบฝึกหัดตามตัวอย่าง ครูเดินตรวจทีละคน หากพบผู้เรียนที่ทำไมได้ ให้อธิบายทันทีก่อนให้การบ้าน 5)ขั้นประเมินผล – เมื่อจบบทเรียนให้วัดมาตรฐานตัวชี้วัด 6. วิธีสอนสอดแทรกการฝึกทักษะการคิดคำนวณ 6.1 รูปแบบที่ 1 : ขั้นตอนการสอน มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ ก่อนหรือหลังเรียนคณิตศาสตร์ในแต่ละวัน ครูใช้เวลา 5-10 นาที ห้ผู้เรียนฝึกทักษะการคิดคำนวณกิจกรรมทีใช้ คือ 1)ฝึกการท่องสูตรคูณทุกครั้งที่มีการเรียนคณิตศาสตร์ 2) ฝึกการคิดเลขเร็ว (ประมาณ 5 – 10 นาที) ทุกครั้งที่มีการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบทดสอบ/แบบฝึกที่ครูสร้างขึ้น 3)ฝึกการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ข้อ 6.2รูปแบบที่ 2 ขั้นตอนการสอน มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ย้ำ 2) ซ้ำ 3) ทวน 7. วิธีสอนแบบอุปนัย (Inductive Method) การสอนแบบอุปนัย หมายถึง การสอนจากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ หรือจากตัวอย่างไปหาข้อสรุป หรือกฎเกณฑ์ ขั้นตอนการสอน มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1)ขั้นเตรียม เป็นขั้นที่ครูทบทวนความรู้เดิมและเร้าความสนใจของผู้เรียน ครูอาจจะเล่าเรื่อง ใช้อุปกรณ์ ตั้งคำถาม 2) ขั้นสอน ครูให้ผู้เรียนดูตัวอย่างประกอบหลาย ๆ ตัวอย่าง เพื่อให้ผู้เรียนสังเกต 3) ขั้นเปรียบเทียบ ครูให้ผู้เรียนเปรียบเทียบตัวอย่างในขั้นที่ 2 ว่ามีความแตกต่างและคล้ายคลึง หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไรบาง ในข้นนี้ผู้เรียนอาจมีการทดลอง วิเคราะห์ผลจากการสังเกตหรือทดลอง 8. วิธีสอนแบบนิรนัย (Deductive Method) การสอนแบบนิรนัย หมายถึง การสอนที่ให้ผู้เรียนรู้หลักเกณฑ์หรือข้อเท็จจริงเสียก่อน แล้วจึงให้เรียนข้อเท็จจริงปลีกย่อย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการสอนจากกฎไปหาตัวอย่างที่เป็นรายละเอียด ขั้นตอนการสอน มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) อธิบายปัญหา (Statement of Problem) ครูอธิบายว่าอะไรคือปัญหาและปัญหานั้นมีความสำคัญอย่างไร 2)การสรุปนัยทั่วไป (Generalization ) ครูแนะนำและอธิบายกฎ สูตร นิยาม ความจำเป็นต้องนำมาใช้แก้ปัญหานั้น 3)อนุมาน ( Inference ) นักเรียนเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกการใช้กฎเกณฑ์หรือสูตร หรือนิยามมาใช้เพื่อแก้ปัญหา 4)ตรวจสอบพิสูจน์ (Verfication ) เมื่อนักเรียนนำกฎหรือสูตรหรือนิยามมาใช้แล้ว นักเรียนจะต้องตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งว่าถูกต้องหรือไม่ ในขั้นนี้อาจมีการค้นคว้าจากหนังสือหรือเอกสารหรือหลักฐานต่าง ๆ 9.วิธีสอนแบบสาธิต ( Demonstration ) การสอนแบบสาธิต หมายถึง การสอนที่ดำเนินการโดยครูเป็นผู้กำหนดปัญหา และแสดงวิธีการหาคำตอบ ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติตาม หากครูอธิบายได้ดีจะเป็นวิธีที่ประหยัดเวลา ขั้นตอนการสอน มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 บอกความคิดรวบยอด ครูเป็นผู้กำหนดเรื่องที่จะสอนและบอกความคิดรวบยอดของเรื่องที่จะสอน เช่น ตัวประกอบของจำนวนนับใด ๆ คือ จำนวนนับที่หารจำนวนนั้นได้ลงตัว ขั้นที่ 2 เสนอตัวอย่าง ครูแสดงตัวอย่างให้ผู้เรียนดูหลาย ๆ ตัวอย่าง เช่น 36 ÷ 6 = 6 , 45 ÷ 9 = 5 , 56 ÷ 7 = 8 ฯลฯ และครูแสดงจำนวนที่หารไม่ลงตัว เช่น 27 ÷ 6 = 4 เศษ 3 , 41 ÷ 8 = 5 เศษ 1 , 58 ÷ 7 = 8 เศษ 2 ฯลฯ พร้อมทั้งสรุปได้ความคิดรวบยอดตามที่กำหนดไว้ว่า จำนวนที่หารจำนวนใดลงตัวก็เป็นตัวประกอบของจำนวนนั้น ในการสอนระหว่างขั้นที่ 1 บอกความคิดรวบยอด และขั้นที่ 2 เสนอตัวอย่างอาจสลับขั้นกันได้ บางครั้งอาจเสนอตัวอย่างก่อนแล้วจึงสรุปความคิดรวบยอด ขั้นที่ 3 ฝึกปฏิบัติ ให้ผู้เรียนปฏิบัติโดยแสดงวิธีแก้ปัญหาโจทย์ที่มีความคิดรวบยอดตามที่เรียนไป โดยเรียนรู้จากแนวคิดที่ครูแสดงให้ดู
10.วิธีสอนเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอด ( Concept Attainment ) การสอนเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอด หมายถึง การสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนรู้คุณลักษณะของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง โดยสามารถระบุลักษณะเด่น ลักษณะรองของสิ่งนั้นได้ สามารถนำความรู้ที่เกิดขึ้นไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ
ขั้นตอนการสอน มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ครูจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการนำเสนอเหตุการณ์รายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ให้ผู้เรียนได้รับรู้ สังเกต พิจารณาลักษณะเด่นและลักษณะประกอบของสิ่งนั้นๆ
ขั้นที่ 2 ครูให้ผู้เรียนระบุลักษณะเด่น และลักษณะรองของสิ่งที่ได้สังเกต และหาลักษณะที่เหมือนกันและลักษณะที่แตกต่างกัน
ขั้นที่ 3 ครูให้ผู้เรียนสรุปลักษณะสำคัญที่สังเกตได้ พร้อมกับให้ชื่อของสิ่งนั้น
ขั้นที่ 4 ครูตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนและความเป็นไปได้ ความเหมาะสมของชื่อ ความคิดรวบยอดนั้น
ขั้นที่ 5 ครูกำหนดสถานการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอดที่เกิดขึ้นไปใช้
11.การสอนโดยใช้เทคนิค KWDL
การสอนโดยใช้เทคนิค KWDL หมายถึง เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาจากเทคนิค KWL ของโอเกิล (Ogle,1986) ที่ต้องอาศัยทักษะการอ่านเป็นพื้นฐาน นั่นคือ นักเรียนต้องมีความสามารถในการอ่านก่อนจึงจะสามารถพัฒนาทักษะการอ่านให้มีคุณภาพมากขึ้นด้วยเทคนิค KWL , KWDL และ KWL plus วิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคหรือกระบวนการ KWDL มีขั้นตอนการดำเนินการเช่นเดียวกับ KWL เพียงแต่เพิ่มขั้น D ในขั้นตอนที่ 3 ซึ่ง KWDL มาจากคำที่ว่า
K : เรารู้อะไร (What we know) หรือโจทย์บอกอะไรเราบ้าง (สำหรับคณิตศาสตร์)
W : เราต้องการรู้ , ต้องการทราบอะไร (What we want to know)
D : เราทำอะไร , อย่างไร (What we do) หรือเรามีวิธีอย่างไรบ้าง หรือมีวิธีดำเนินการเพื่อหาคำตอบอย่างไร
L : เราเรียนรู้อะไรจากการดำเนินการ ขั้นที่ 3 (What we learned) ซึ่งคือคำตอบสาระความรู้ และวิธีหาคำตอบและขั้นตอนการคิดคำนวณ เป็นต้น
แผนภูมิเทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้ KWDL
โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ : KWDL Chart
ขั้นที่ 1 ครูจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการนำเสนอเหตุการณ์รายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ให้ผู้เรียนได้รับรู้ สังเกต พิจารณาลักษณะเด่นและลักษณะประกอบของสิ่งนั้นๆ
ขั้นที่ 2 ครูให้ผู้เรียนระบุลักษณะเด่น และลักษณะรองของสิ่งที่ได้สังเกต และหาลักษณะที่เหมือนกันและลักษณะที่แตกต่างกัน
ขั้นที่ 3 ครูให้ผู้เรียนสรุปลักษณะสำคัญที่สังเกตได้ พร้อมกับให้ชื่อของสิ่งนั้น
ขั้นที่ 4 ครูตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนและความเป็นไปได้ ความเหมาะสมของชื่อ ความคิดรวบยอดนั้น
ขั้นที่ 5 ครูกำหนดสถานการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอดที่เกิดขึ้นไปใช้
K
โจทย์บอกอะไรบ้าง
|
W
โจทย์ให้หาอะไร
|
D
ดำเนินการตามกระบวนการ
|
L
คำตอบที่ได้ และคิดคำตอบอย่างไร
|
……………………….
……………………….
2. ………………
………………………..
|
……………………….
……………………….
2. ………………
…………………..….
| แสดงวิธีทำวิธีที่ 1
ประโยคสัญลักษณ์
……………………….
……………………….
| คำตอบ……………………
สรุปขั้นตอน
……………………
……………………
|
พี่ชายใจดีมีเงินอยู่ 3,200 บาท แบ่งให้น้อง 5 คน คนละเท่า ๆ กัน น้องแต่ละคนจะได้เงินคนละเท่าไร |
K
โจทย์บอกอะไรบ้าง
|
W
โจทย์ให้หาอะไร
|
D
ดำเนินการตามกระบวนการ
|
L
คำตอบที่ได้ และคิดคำตอบอย่างไร
|
อยู่ 3,200 บาท
2.แบ่งให้น้อง5 คน ๆ ละ เท่า ๆ กัน
| -น้องแต่ละคนจะได้เงินคนละเท่าไร | แสดงวิธีทำวิธีหาร (÷)ประโยคสัญลักษณ์ 3,200÷5=ם
วิธีทำ
พี่ชายใจดีมีเงินอยู่ 3,200 บาท ÷
แบ่งให้น้อง 5 คน
น้องแต่ละคนจะได้เงินคนละ640 บาท
ตอบ 640 บาท
| คำตอบ640 บาท
สรุปขั้นตอน
3,200 ÷5 = 640
|
K โจทย์บอกอะไรบ้าง | W โจทย์ให้หาอะไร | D ดำเนินการตามกระบวนการ | L คำตอบที่ได้ และคิดคำตอบอย่างไร |
1. ……………… ………………………. ………………………. 2.……………… ……………………….. ………………………. | 1.…………………. ………………………. ………………………. 2.………………….. …………………..………………………. | แสดงวิธีทำ วิธีที่ 1……………….. วิธีที่ 2 ……………………. ประโยคสัญลักษณ์ ………………………. ………………………. | คำตอบ……………………
สรุปขั้นตอน
……………………
……………………
……………………
|
ที่มาของข้อมูล https://goo.gl/iLZ2E2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น